เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ สูงสุดสู่สามัญ เวลาสูงสุดสู่สามัญ คนที่สูงส่งยิ่งใหญ่แล้ว จิตใจเขาเป็นธรรมแล้ว มันไม่มีสิ่งใดเป็นสิ่งที่น่าสงสัยเลย เขาพิสูจน์ตรวจสอบมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรเลย สูงสุดสู่สามัญ
พระพุทธศาสนาสอนเรียบง่ายมาก
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
เวลาเซนเขาไปถามเลย อาจารย์ให้สอนหน่อย วิธีทำอะไร
ละชั่ว
สอนแค่นี้แหละ พระพุทธศาสนา หัวใจแค่นี้ สอนเรียบง่าย แต่พวกเราปีนป่ายกันนะ ทุกข์ยากไปหมด เวลาปีนป่ายทุกข์ยากไปหมด เวลามันทุกข์ยาก มันทุกข์ยากเพราะอะไร มันทุกข์ยากเพราะว่าวุฒิภาวะของสังคมมันแตกต่างกัน
เวลาคน ระดับของทาน ระดับของทานเขาก็อยากทำบุญกุศลของเขา ถ้าเขาทำบุญกุศลของเขา เขาจะได้ไปสวรรค์ เวลาคนทำบุญบ้านนอกนะ เขาบอกว่าต้องตักบาตรๆ เพราะเดี๋ยวตายไปแล้วไม่มีจะกิน นี่ด้วยความเชื่อไง
ตักบาตรๆ นะ ความตักบาตรๆ ไม่มีจะกิน เขาตักบาตรเพื่อหัวใจของเขา เวลาบ้านนอกคอกนาเขาตักบาตรของเขาเลย เขาอบรมสั่งสอนกันมาว่าเราต้องทำบุญกุศล เดี๋ยวตายไปแล้วเราจะไม่มีอาหาร จะไม่มีที่อยู่อาศัย นี่ด้วยความเชื่อของเขาไง ถ้าความเชื่อของเขา เขาทำบุญกุศลด้วยศรัทธาความเชื่อของเขา ระดับของทาน ไอ้คนที่วุฒิภาวะที่สูงกว่าก็ระดับของศีล ระดับของภาวนา
ระดับของศีล ระดับของภาวนา ผู้ที่ภาวนา ถ้าภาวนาโดยทุจริต ภาวนาโดยจิ้งจอก มันก็ไปหลอกลวงไอ้พวกที่เขามีความเชื่อนั่นไง วุฒิภาวะมันแตกต่างกันอย่างนี้ไง ถ้าสังคมที่มันวุ่นวาย มันวุ่นวายกันอย่างนี้ไง ถ้ามันวุ่นวาย ความเชื่อของเขา เชื่ออย่างนั้นถ้ามันพัฒนาขึ้นมันก็ทาน ศีล ภาวนา
เวลาภาวนาๆ พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ไง ละชั่ว ทำบุญกุศลก็ทำบุญกุศล นั่นระดับของทาน พระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์นะ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ในเมื่อเขาตักบารตร เขามีการกระทำ บุญของเขามันเกิดขึ้นแล้ว ทำไมเขาจะไม่ได้ เขาได้ของเขาอยู่แล้วโดยธรรมชาติ โดยสัจจะ
ธรรมะเป็นธรรมชาติๆ ไง แล้วธรรมะเป็นธรรมชาติ เขาทำสมบูรณ์ตามธรรมชาติแล้ว เขาจะไม่ได้บุญกุศลอันนั้นใช่ไหม แต่ไอ้พวกภาวนาจิ้งจอกมันก็ไปหลอกไปลวงเขาไง ทำไมมันไม่ไปสอนเขาล่ะ สอนเขาทาน ศีล ภาวนา สิ่งที่ดีกว่านั้นบำรุงหัวใจให้มันดีขึ้นได้ไง ทำทานก็ทำทานระดับหนึ่ง แล้วทำทาน คนที่มีหัวใจที่เป็นกุศลเขาทำของเขาได้ จิตอาสาๆ หัวใจสาธารณะมันยอมรับความเห็นต่าง พอความเห็นต่างขึ้นมามันก็เป็นประโยชน์
ตอนนี้ในปัญหาสังคมรุนแรงมากนะ ความรุนแรงของสังคมๆ พอมันมีความรุนแรงในสังคม แล้วมันก็มามีความรุนแรงในครอบครัว มันมีความรุนแรงในบ้านของเรา
ความรุนแรงแก้ปัญหาได้ไหม
ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้ แต่มันเพิ่มปัญญามากขึ้นๆ นะ แล้วความรุนแรงจะแก้ได้อย่างไร
ความรุนแรงจะแก้ด้วย ดูสิ เขาซื้อปืนกันเอาไว้ป้องกันตัว มีอาวุธไว้ป้องกันตัวๆ แล้วอาวุธมันป้องกันตัวได้ไหม อาวุธมันป้องกันตัวได้ มันจะสร้างปัญหามากขึ้นๆ ไง เวลาคนที่มีอาวุธอยู่ในรถนะ เขาบอกว่าให้เก็บไว้แล้วถอดเอาลูกกระสุนออก เดี๋ยวอารมณ์ชั่ววูบมันสร้างปัญหาทันทีเลย นี่ไง ความรุนแรงมันแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วความรุนแรงมันเกิดมาจากไหนล่ะ
มันเกิดจากศีลธรรมเสื่อม หัวใจของคนเสื่อม มันเสื่อมไปเพราะอะไร เสื่อมไปเพราะนี่ไง เสื่อมไปเพราะ
“หลวงพ่อ ตอนนี้เศรษฐกิจมันไม่ดีนะ หลวงพ่อจะมาโทษพวกผมได้อย่างไร เศรษฐกิจมันไม่ดี”
มันก็มีปัญหาส่วนหนึ่ง ปัญหาทุกคนแล้วแต่มุมมองของคนนะ ปัญหามันร้อยแปด ปัญหานี่มากมาย ปัญหามากมายขึ้นมา ปัญหามากมายเพราะเราเกิดเป็นมนุษย์ไง
ถ้าพูดกันเพียวๆ ตามเนื้อหาสาระเลย การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์เป็นสิทธิเสรีภาพมาก ดูสิ เวลาเกิดเป็นสัตว์ เราอยู่ในป่าในเขานะ ห่วงโซ่อาหาร ไอ้เก้งไอ้กวางมันเกิดมาเพื่อเป็นเหยื่อของเสือ มันเกิดมาเพื่อให้เสือกิน แล้วมันก็ต้องหาอาหารของมัน มันต้องกินหญ้าของมัน มันต้องกินพืชของมัน แล้วเวลามันกินนะ มันต้องเหลียวซ้ายแลขวา มันต้องระวังชีวิตตลอดเลย ชีวิตมันทุกข์ยากมาก เผลอเป็นตาย นี่เวลาอย่างนั้น นี่สัตว์ เวลางูมันกินเขียดกินกบ กินอะไรต่างๆ ร้องแอ๊กๆๆ ต้องไปช่วยมันน่ะ
แต่พระที่เขาเป็นธรรมนะ เขาบอกว่าเราไปขัดลาภเขา งูมันด้วยความสามารถของมัน มันจะได้อาหาร แล้วเราเห็นแก่ชีวิตของสัตว์ เราก็ไปปล่อย วุฒิภาวะของใจ พระเวลาอยู่ในป่าจะมีความเห็นแตกต่างกันไป
นี่พูดถึงว่าความรุนแรง ความรุนแรงในสังคม ความรุนแรงในสังคมก็โทสะ โมหะไง ก็โทสะของคนเท่านั้นน่ะ อารมณ์ความรู้สึกของคนเท่านั้นน่ะ แล้วอะไรมันจะแก้ได้ ศีลธรรมไง ศีลธรรมๆ นี่ไง
ความรุนแรงๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไมได้ส่งเสริมเลย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องทานๆ ทานคือการเสียสละ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุขได้โดยในหมู่ชุมชนของเราไม่มีขโมย ในชุมชนของเราไม่มีนักเลงหัวไม้ ในชุมชนของเรามีแต่คนที่จิตใจเป็นศีลเป็นธรรม ในชุมชนของเราจะมีความสุขมาก ในชุมชนของเราน่ะ
แล้วถ้าไอ้นักเลงหัวไม้ ไอ้คนที่มันเที่ยวพาลหาเรื่องชาวบ้านนั่นน่ะ ถ้ามันได้ออกจากหมู่บ้านนั้นไป ชาวบ้านเขาจะชื่นใจมาก ชาวบ้านเขาจะก็มีความสุขของเขามาก
นี่ไง ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้ มันจะเพิ่มปัญหาไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องไป แล้วความรุนแรงมันมาจากไหน
มาจากโทสะ ความหลง หลงว่าศักดิ์ศรีๆ ยิ่งใหญ่ๆ ยิ่งใหญ่มาจากไหน ยิ่งใหญ่อยู่ในคุกไง เอ็งทำลายเขาทั้งสิ้น
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาท่านสรรเสริญนะ สรรเสริญการฆ่ากิเลส การแม้แต่พูดจากระทบกระทั่งกัน เวลาถือศีลไง อย่าพูดจาส่อเสียด อย่าพูดจาเพ้อเจ้อ ไม่ให้ทำทั้งสิ้น ถ้าถือศีลๆ ไง แต่เวลาท่านชื่นชม ชื่นชมการฆ่ากิเลสไง แล้วการฆ่ากิเลส ถ้าความรุนแรงนะ เรามีสติปัญญา ถ้าคนมีสติปัญญา ความรุนแรงโดยการตั้งสติไง
เวลาหลวงตา เวลาท่านพูด มันฟังใจเรา อะไรที่มันกินใจนะ ท่านบอกเลย เวลาท่านเข้าป่าเข้าเขาไป เวลาอดนอนผ่อนอาหาร มันจะบิณฑบาตมันจะไปไม่ไหวแล้ว ต้องคำนวณเอา เวลาคำนวณไปครึ่งทาง
มันเดินเข้าไปบิณฑบาตไม่ได้ มันไม่มีกำลังเลย คนเรามันเดินไม่ไหว นั่งลงน้ำตาไหลเลยนะ โอ้! กิเลสนะ มึงเอากูขนาดนี้เชียว วันไหนถ้ากูเอาชนะมึงได้ กูจะเอามึงให้เต็มที่เลย
แล้วเวลาท่านไปแก้ปัญหาในหัวใจกับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นสั่งสอน เวลาเข้าป่าเข้าเขาไป เวลาออกมาอดอาหารจนซีดเลย เป็นโรค พอซีด หลวงปู่มั่นบอกว่า “อู้ฮู! เอาขนาดนั้นเชียวหรือ”
คำว่า “เอาขนาดนั้นเชียวหรือ” มันเห็น คนเราหัวใจเพชรนะ คนที่หัวใจเข้มแข็ง ถ้ามันไม่มีอะไรที่รุนแรงกว่านั้น จะไม่หลุดปากออกมาอย่างนั้นหรอก แต่เวลาหลุดปากออกมาอย่างนั้นแล้ว กิเลสในหัวใจของคนมันร้ายกาจนัก ถ้ากิเลสในหัวใจของคนร้ายกาจนัก ขนาดอาจารย์ของเรายังหวั่นไหวเลย เราจะรุนแรงต่อไปข้างหน้าได้อย่างไร
หลวงปู่มั่นท่านพลิกกลับเลย นี่ไง มันรุนแรง รุนแรงอย่างนั้นแหละ รุนเรงโดยธรรม รุนแรงโดยศีล รุนแรงโดยสมาธิ รุนแรงโดยปัญญา รุนแรงเอาชนะอารมณ์ของตน รุนแรงเอาชนะความโกรธ ความหลงของตน เวลามันรุนแรงอย่างนั้น นั่นน่ะส่งเสริมให้รุนแรงไง
ท่านพลิกกลับเลย เออ! นักรบเว้ย นักรบต้องเป็นอย่างนั้น นี่ไง ถ้าเป็นความรุนแรงจากการฝึกหัดสมาธิ
แต่เราอ่อนแอไง เวลารุนแรงก็เป็นรุนแรงทางโลก รุนแรงจนกิเลสมันขับไสไง ขับไสไปให้สังคมมีความกระทบกระเทือนกัน การระการรานกัน การทำลายกัน แล้วสังคมในครอบครัวก็ไม่เจรจา ไม่มีศีลมีธรรม
มีศีลมีธรรมนะ ถ้าคนหนึ่งเย็น มันก็สามารถเจรจากันได้ แรงต่อแรงเจอกันนะ มันก็แตกหัก แล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ความรุนแรงแก้ปัญหาไม่ได้
แต่ถ้ามันจะรุนแรงต้องรุนแรงอย่างนี้ รุนแรงโดยมีสติสามารถยับยั้งอารมณ์ที่มันรุนแรงนั้นได้ ความยับยั้งความรู้สึกนึกคิดอันนั้นน่ะ นั่นน่ะสติ
ถ้ามีสติหลวงตาท่านพูด คนภาวนาเป็นพูดนะ มันเป็นข้อเท็จจริง แต่โยมฟังไม่ออกหรอก
ท่านบอกเลย ฝ่ามือสามารถกั้นคลื่นในมหาสมุทรได้
ดูพายุเข้ามาสิ คลื่นมันรุนแรงขนาดไหน ฝ่ามือนี้กั้นได้ ฝ่ามือคือสติไง สติสามารถยับยั้งอารมณ์ในใจของตนได้ แต่มันอยู่ที่การฝึกหัด
พวกเราชาวพุทธๆ ไง ระดับของทาน ระดับของศีล ระดับของภาวนาไง ความรุนแรงในสังคม ความรุนแรงในสังคมเพราะมันขาดสติ ความรุนแรงในสังคมเพราะโทสะ โมหะมันเผาลนมัน แล้วเวลาโทษก็โทษเศรษฐกิจไม่ดี สังคมมันรังแกฉัน คนอื่นทำลายเราก่อน เดินไปเขามองหน้า
มันไปโทษคนอื่นหมดเลยนะ มันไม่โทษเลยว่ามึงหาเรื่อง
มึงลองสงบนะ สงบในหัวใจของมึง มีสติแล้วพยายามทำหัวใจให้เย็นลง แล้วสายตาเรามองแต่สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามไง นี่ไง ถ้ารุนแรงด้วยศีลด้วยธรรม มันจะครอบงำความรุนแรงของโลกได้
ความรุนแรงของโลกที่มันรุนแรงกันอยู่นี้เพราะเรากระตุ้นกันด้วยระบบเศรษฐกิจ ด้วยระบบการแข่งขัน แข่งขันมันก็เป็นการพัฒนาเรื่องปัญญา เรื่องวิธีการหาเอาตัวรอดไง นั่นก็เป็นการฝึกหัดปัญญาอย่างหนึ่ง แต่เป็นโลกๆ ไง
แต่ถ้าเป็นปัญญาๆ ถ้าเป็นสติปัญญา ถ้าความรุนแรง รุนแรงโดยธรรม รุนแรงโดยคุณธรรม รุนแรงโดยสติปัญญาของเรา รุนแรงเพื่อควบคุมหัวใจของเรา ถ้าในหัวใจเราสงบขึ้นมานะ มึงบ้า ถ้ามึงบ้าปั๊บ มันไม่ไปทำเขาหรอก
แต่ถ้ามันเป็นทางโลกนะ เขาบ้า สังคมรังแก สังคมรุนแรง เราประเสริฐ เราเป็นยอดคน
แต่ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมานะ เราบ้า สังคมเขาเป็นอย่างนั้น ธรรมะเป็นธรรมชาติไง ธรรมะเป็นธรรมชาติ มนุษย์สังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่เขาเกิดมาด้วยบุญกุศลของเขา ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหนก็มีการแข่งขันด้วยการกระทำของเขา คนที่มีสติปัญญาเขาก็มีสติปัญญาเหมือนกัน คนที่ช่วยเหลือสังคมมันไม่มีเลยหรือ คนที่จิตใจเป็นธรรมในโลกนี้ไม่มีเลยใช่ไหม เขาก็พยายามกระทำของเขาเหมือนกัน แต่ในเมื่อสังคมมันกว้างขึ้นใหญ่ขึ้น คนที่เป็นธรรมๆ มันโดนเกลี่ยไป มันโดนเจือจานไป จนเราไม่เห็นว่าคนไหนเป็นคนดีเลยหรือ
ถ้าเป็นคนดีๆ คนดีมันเกิดขึ้นไง ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามันคิดของมันได้นะ มันก็พยายามมีสติปัญญาที่รุนแรงขึ้น แรงกระทำดีขึ้น ยับยั้งกิเลสในใจของเราให้มันสงบตัวลง จบ แล้วมันจะบอกเลย หายบ้า นี่หายบ้าโดยศีลโดยธรรม
ในการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าเราหายบ้า มันก็เท่าเดิมนั่นน่ะ สังคมก็เป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ สังคมเป็นสังคมนะ สภาคกรรม เวลาเราเกิดนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิด ทุกคนอยากเกิดร่วมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สหชาติ การร่วมเกิดสหชาติมันต้องร่วมสร้างบุญสร้างกรรมกันมา ถ้าไม่ได้สร้างบุญสร้างกรรมมามันร่วมเกิดสหชาติได้อย่างไร
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนไม่เคยเป็นญาติเป็นพี่น้องกันมาชาติใดชาติหนึ่ง ไม่มีเลย เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันยาวไกลขนาดนั้นไง การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันยาวไกลขนาดที่ว่ามันเคยสัมผัสกันมาในภพใดชาติใดชาติหนึ่งแน่นอน มันถึงมีสิ่งกระทบ แรงผลัก แรงดึงดูดในการพบเห็นหน้ากัน มันมีของมันอยู่อย่างนั้น ถ้ามีของมันอยู่อย่างนั้น นี่กรรมเก่า เวลากรรมเก่า
การศึกษาๆ ศึกษาไว้เป็นความรู้ ไม่ใช่ศึกษาไว้เอามาทำลายตน
เวลาชาวพุทธไง นู่นก็กรรม นี่ก็กรรม กูก็กรรมของกูอย่างนี้ กูไม่ยุ่งกับใคร
ไม่ใช่ กรรมเก่ามันส่งผลถึงปัจจุบันนี้ในจริตนิสัย ในมุมมอง ในทัศนคติ ในความเห็นอันนั้นไง แต่พระพุทธศาสนาสอนเรื่องปัจจุบันธรรมๆ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ฝึกหัดเอาเดี๋ยวนี้ เอาปัจจุบันนี้
ถ้าคนที่มีกรรมดีมา พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย มุมมองของเจ้าชายสิทธัตถะไม่มองเหมือนโลกเลย มองตรงข้ามกับโลกทุกๆ อย่าง ในโลกนี้มีการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทั้งๆ ที่มันไม่มีอยู่ แต่ท่านก็มุมมองอย่างนั้นน่ะ
มุมมอง ทัศนคติมุมมอง พันธุกรรมของจิตๆ สิ่งที่เราได้สร้างสมมาจากอดีต สร้างสมมา เหมือนเมล็ดพันธุ์พืชเลย เหมือนกัน แต่ค้นหาไม่เจอ หาเจอแต่ทฤษฎี หาเจอแต่ธรรมะพระพุทธเจ้า คือหาหัวใจของตนไม่เจอ การหาหัวใจของตนไม่เจอคือทำสมาธิไม่เป็น
ทำสมาธิไม่เป็น ว่างๆ คืออารมณ์ว่าง อารมณ์ไม่ใช่สมาธิ สมาธิเป็นสมาธิ มันหาใจของมันไม่เจอ มันเลยไม่รู้จักคุณค่าของหัวใจไง ไม่รู้ถึงคุณค่าของเมล็ดพันธุ์ที่ได้มาเกิดเป็นเราอยู่นี่ไง
ปฏิสนธิจิต แต่สิ่งต่างๆ แล้วมันเป็นขันธ์ ๕ อารมณ์ความรู้สึก อารมณ์ชั่ววูบๆ แล้วอารมณ์ชั่ววูบๆๆ เหมือนพายุ วูบผ่านไปแล้ว
ถ้ามันมา ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล อารมณ์ปกติ อารมณ์ธรรมดามันก็เป็นประโยชน์ อารมณ์ชั่ววูบมันพัดให้บ้านเรือนการเกษตรกรรมเสียหายทั้งหมด อารมณ์ที่รุนแรงเกินไป สังคมที่รุนแรงก็รุนแรงจากการพลั้งเผลอ การไม่ฝึกไม่หัด การไม่กระทำ การไม่เห็นคุณค่าของหัวใจของเรา เห็นแต่ปัจจัยเครื่องอาศัยไง
เครื่องอาศัยนะ บ้านเรือนที่อยู่อาศัยนี้เป็นเครื่องอาศัย ปัจจัยเครื่องอาศัยๆ ของอาศัยไม่ใช่ของจริง แม้แต่ร่างกายเรายังสมมุติ สมมุตินี้เป็นของอาศัยทั้งสิ้น หัวใจเรามาอาศัยไง หัวใจเรามาอาศัยเกิดในท้องของแม่ ในไข่ ในครรภ์ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ มันมาอาศัยภพชาติหนึ่ง แล้วภพชาตินี้เกิดมาแล้ว เกิดมาเป็นสายบุญสายกรรม เกิดมาเราได้เห็นคุณค่าของผู้ให้เกิดหรือไม่
ผู้ให้เกิด เห็นไหม ถ้าผู้ให้เกิดมีคุณค่า แล้วจะมีคุณค่า มีคุณค่าที่ไหน
มีคุณค่าถ้ามันเข้าไปหาใจของตนเจอ มันยิ่งสาธุๆ ไง สาธุสิ่งนี้ไง ถ้ามันพัฒนา มันจะพัฒนาขึ้นมาในใจของเรา แล้วปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไม่ต้องให้ใครสอน รู้ในใจของตน แล้วถ้ารู้อย่างนี้มันฝังใจ มันมีอยู่ในใจไง
เราเห็นแล้วเราเศร้ามาก สังคมมีการฆ่าการทำลายกันตลอด แม้แต่ในบ้านในเรือนก็ยังทำลายกันเอง มันทำลายทั้งสิ้นโดยอารมณ์ชั่ววูบๆ ทำไมมันเสื่อมถอยไปขนาดนั้น นี่ไว้ใจกันไม่ได้เลยนะ ในบ้านของเราเองยังไว้ใจใครไม่ได้เลย แล้วมันจะมีความสุขได้อย่างไร
แล้วถ้าเป็นนักปฏิบัติ ก็ในใจเราสมาธิมึงยังไม่มี สมาธิยังไม่เห็น มันมีกิเลสครอบงำ กิเลสคือพญามาร พญามารมันทำลายทั้งนั้น
ในบ้านเราก็ทุกข์ ในเรือนใจ พระที่ปฏิบัติ ในหัวใจคนก็ทุกข์ กิเลสมันขบมันกัดโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ งูพิษมันขบมันกัด มันขบมันกัด ไอ้คนโดนขบโดนกัดยังคิดว่า เออ! กูได้เซรุ่ม กูได้ยาบำรุง...มันโดนกิเลสขับไสมันยังไม่รู้ตัว เศร้า
แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์ท่านทำนะ ท่านทำ ชีวิตนี้เรียบง่าย การสั่งสอนนี้เรียบง่าย ศีล สมาธิ ปัญญา กรรมเก่าเป็นกรรมเก่า เพราะกรรมเก่าส่งเริมให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้ เราจะไม่เสียดายสิ่งใดๆ เลย
แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราจะมาสร้างสมของเรา พัฒนาหัวใจของเราให้เข้มแข็งของเราขึ้นมา
สังคมเป็นสังคม เราเป็นเรา สังคมเกิดมาที่ไหน
เป็นครูบาอาจารย์ที่ดีนะ ท่านบอกเลยนะ ชาติไม่ใช่แผ่นดิน ชาติคือคน คนเท่านั้น คนเท่านั้นเป็นคนทำดีและทำชั่ว แผ่นดินมันไม่ได้ทำ
ชาติคือคน แล้วคนก็คือเรา แล้วเราก็มีครอบครัว มีสังคม มีทุกอย่าง เห็นไหม ให้เข้มแข็งทางหัวใจ ให้มันแข็งแรงเข็มแข็ง อย่าไปรุนแรงทางโลก
แต่ถ้าจะรุนแรงต้องมีคุณธรรม มีศีล มีสมาธิที่รุนแรง มีปัญญาที่รุนแรง แม้แต่ฝ่ามือสามารถกั้นพายุทะเลได้ นี่ผู้ที่ปฏิบัติมาเห็นอย่างนั้น ฝ่ามือสามารถกั้นคลื่นทะเลได้ สติปัญญาสามารถกั้นความที่เราจะออกไปกระทบกระเทือนกับสังคมภายนอกได้ เราจะรักษาของเรา เราจะดูแลหัวใจของเรา นี้คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เอาชนะตนเองได้ สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข เอวัง